หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การกวนเกษียรสมุทร ตอน นางโคสุรภี



ที่มา : http://www.singhsabhacanada.com/wp-content/uploads/2015/02/


นางโคสุรภี

การกวนเกษียรสมุทร

       ตามตำนานกล่าวไว้ว่าครั้งหนึ่งมีเทพและยักษ์ได้สู้รบเพื่อแย่งดินแดนที่แต่เดิมนั้นเป็นของยักษ์ ในช่วงเวลานั้นทั้งเหล่าเทพและยักษ์ต่างก็มีอิทธิฤทธิ์ไม่แพ้กัน เนื่องจากต่างฝ่ายต่างได้รับพรจากพระศิวะและพระพรหม ซึ่งกล่าวไว้ว่าหากใครที่ประพฤติดี บำเพ็ญเพียรจนเป็นที่น่าพอใจ พระศิวะและพระพรหมก็จะประทานพรให้โดยไม่แบ่งแยกฝ่าย แต่ในเวลาต่อมาจึงได้มีพระพิฆเนศ ซึ่งหมายถึงการสร้างอุปสรรค  เข้ามาคอยขัดขวางทำให้การเข้ามาขอพรนั้นยากขึ้น และพระอินทร์เป็นผู้นำทัพของฝ่ายเทพนั้นต้องการที่จะยึดดินแดนส่วนนี้ให้ได้ จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากพระศิวะและพระพรหม เนื่องจากตนนั้นถูกสาปให้ไม่มีฤทธิ์อำนาจ  แต่ท่านทั้งสองไม่เห็นด้วย จึงไปขอร้องพระวิษณุให้ช่วยเหลือ 

ที่มา : http://www.pikanetcnx.com/home/post03062018424/


พระวิษณุจึงแนะนำให้ไปทำพิธีกวนเกษียรสมุทรในทะเลน้ำนม หากทำสำเร็จก็จะได้น้ำอมฤตมาดื่ม เพราะน้ำอมฤตสามารถทำให้มีพลังและเป็นอมตะ แต่การทำพิธีกวนเกษียรสมุทรนั้นเป็นไปได้ยากเพราะต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก พระอินทร์จึงได้ยื่นข้อเสนอให้กับฝ่ายยักษ์ให้มาช่วยกันทำพิธีนี้ อีกทั้งยังออกอุบายว่าหากเรากวนน้ำอมฤตได้เท่าไหร่ค่อยนำมาแบ่งกันภายหลัง และได้ชักชวนให้นาควาสุกรีมาใช้ลำตัวแทนเชือกเพื่อทำพิธีนี้ และได้นำเขามันทรคีรีมาตั้งบนทะเลน้ำนมแห่งนี้  และมีพระวิษณุอวตารลงมาเป็นเต่าเพื่อรองรับภูเขามันทรคีรีที่เป็นไม้ที่ใช้ในการกวน ซึ่งในระหว่างการทำพิธีการกวนเกษียรสมุทร นาควาสุกรีซึ่งได้รับตวามเจ็บปวดจึงได้พ่นไฟพิษออกมา และในขณะเดียวกันนั้นก็ได้มีของวิเศษออกมาก่อนน้ำอมฤต เช่น ดวงจันทร์ ช้างเผือกเอราวัณ โคสุรภี สังข์ หริธนู ปวงเทพีอัปสรสวรรค์ เป็นต้น โดยการทำพิธีกวนเกษียรสมุทรนี้ใช้ระยะเวลานานเป็นพันๆปี ท้ายที่สุดแล้วก็มีแต่เหล่าเทพที่ได้ดื่มน้ำอมฤตและได้ดินแดนแห่งนี้ไป เพราะเหล่ายักษ์มัวแต่สนใจเหล่านางอัปสรสวรรค์จนไม่ทันเหล่าเทพที่ดื่มน้ำอมฤตจนหมด

ที่มา : https://my.dek-d.com/zennee/writer/viewlongc.php?id=1279933&chapter=175
       
ตำนานโคสุรภี

       กามเธนุ (kamadhenu) หรือ สุรภี หมายถึง วัวของเทพเจ้า เป็นวัวที่สามารถทำพรให้เป็นจริงสมปรารถนา  คำว่า "กามะ" แปลว่า ความปรารถนา  และ "เธนุ" แปลว่า ผู้ให้ โคสุรภีเกิดมาจากการทำพิธีกวนเกษียรสมุทร ระหว่างฝ่ายยักษ์และฝ่ายเทพที่ต้องการน้ำอมฤตมาดื่มเพื่อให้มีพลังและความเป็นอมตะ โดยพระกัศยปะมีความต้องการที่จะได้นางโคสุรภีมาเป็นพาหนะประจำองค์แต่ด้วยความจริงที่ว่า โคสุรภีนั้นเป็นโคเพศเมียจึงไม่เหมาะและต้องการโคเพศผู้มาเป็นพาหนะประจำตนมากกว่า พระกัศยปะจึงได้เนรมิตกายตนเองให้เป็นโคเพศผู้ไปผสมพันธุ์กับนางโคสุรภี จนตั้งครรภ์ และให้กำเนิดลูกโคออกมาเป็นตัวผู้สีขาวบริสุทธิ์มีลักษณะดีตรงตามตำรา จึงได้ตั้งชื่อว่า "นนทิ หรือ นันทิ" และถวายโอรสของตนให้กับพระศิวะเพื่อใช้เป็นพาหนะประจำองค์ และคอยรับใช้ท่าน 

ที่มา : https://www.siamganesh.com/shiva_4.html


แม่โคสุรภีได้ให้กำเนิดกลุ่มโคชื่อ "กลิปา" เป็นกลุ่มแม่โคกลุ่มแรกที่ได้ให้กำเนิดเหล่าโคทั้งหลายในเวลาต่อมา อีกทั้งนางโคสุรภียังได้ชื่อว่าเป็นมารดาโคตนแรกของโลก และมีความเชื่อกันว่า นางโคสุรภีนั้นอาศัยอยู่ในโคโลก ปัจจุบันเป็นสัตว์เทพที่นับถือของศาสนาฮินดู นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ชาวฮินดูมีความเชื่อที่ว่าห้ามฆ่าวัวและหากมีผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดทางกฎหมาย อีกทั้งยังใช้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการกราบไหว้ หรือกระทำการอย่างไรก็ตามเพื่อความเป็นศิริมงคล สะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดธรรมะของชาวฮินดูเป็นอย่างมาก


ลักษณะของโคสุรภี

       ตามตำนานกล่าวไว้ว่านางโคสุรภีเป็นเทพเจ้าหรือเทวีองค์หนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์มาก  มีลักษณะที่พิเศษ คือ มีเศียรเป็นมนุษย์ กายเป็นโค แต่บางตำรากล่าวไว้ต่างกันว่าเป็นแม่โคธรรมดา และนอกจากนั้น ยังมีปีกและหางเป็นนกยูง มีพระเจ้าสถิตอยู่ทุกส่วนของร่างกาย กล่าวคือ ขาทั้งสี่มีพระเวท 4 เล่มและภูเขาหิมาลัยสถิตอยู่ ปลายเขามีพระพรหม กลางเขามีพระนารายณ์และโคนเขามีพระศิวะ ดวงตามีพระจันทร์และพระอาทิตย์สถิตอยู่ หัวไหล่มีอัคนีเทพและวายุเทพสถิตอยู่ อีกทั้งใต้ท้องของพระนางก็ยังมีคนทุกชนชาติอาศัยอยู่เพื่อดื่มน้ำนมจากเต้าของตน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/813962


ที่มา : https://www.wordzz.com/cow-symbol-earth/gau-mata/

ลักษณะงานศิลปะ

       ตัวอย่างงานศิลปะของโคสุรภีที่เราสามารถพบเห็นกันได้จะเป็นงานจิตรกรรมและงานประติมากรรมจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากพระนางเป็นเพียงแม่โคที่ให้กำเนิดโคนนทิ ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะ เราจึงพบเห็นงานศิลปะของโคนนทิเป็นส่วนใหญ่ เพราะตามภาพแกะสลักของพระศิวะก็จะมีโคนนทิคู่ประจำองค์เสมอ ส่วนงานศิลปะของพระโคสุรภี หรือ แม่โคกามเธนุ ที่เราพบเห็นกันตัวอย่างเช่น

ที่มา : https://en.m.wikipedia.org/wiki/Kamadhenu?fbclid=IwAR0gZBAZ-2rPenVgd-WkH8p9tNE7yAHUTAeE-WdYg3JoHWOydzSOgsKlR6g

งานประติมากรรมโคกามเธนุ ที่ถ้ำบาตู ประเทศมาเลเซีย

       เป็นงานประติมากรรมที่อ้างอิงลักษณะของพระโคสุรภีมากจากภารตะนิยาย ภายในถ้ำเป็นสถานที่ประกอบพิธีที่สำคัญของศาสนาฮินดู และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติได้เข้าชมความงามของศิลปะเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของศาสนาฮินดู
       
ที่มา : https://www.voicetv.co.th/read/533485

งานภาพเขียนโคสุรภีเคียงคู่กับฤาษี


ที่มา : https://www.the-saleroom.com/en-us/auction-catalogues/christies-south-kensington/catalogue-id-srchristi10068/lot-8285182c-c976-4374-b6bb-a421015aa6da

งานภาพเขียนโคสุรภีเคียงคู่กับฤาษี

       รูปภาพที่เขียนถึงแม่โคกามเธนุ มักออกแบบให้มีหน้าแบบผู้หญิง ตัวเป็นแม่โค เหมือนสฟิงซ์ มีภาพฤาษีเคียงคู่กัน  เพราะในเวลาต่อมาแม่โคสุรภีได้ไปอาศัยอยู่กับ "ฤาษีวศิษฐ์" ซึ่งเป็นมหาฤาษีในตำนานฮินดู







เอกสารอ้างอิง

lookhin. (2555). ตำนานการกวนเกษียรสมุทร. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2561. จาก https://www.unzeen.com/article/1976/

สยามคเณศ ดอทคอม. (ม.ป.ป.). โคนนทิสัตว์เทพพาหนะแห่งพระศิวะ. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2561. จาก https://www.siamganesh.com/shiva_4.html

อารยัน. (2559). เทพเจ้าลูกครึ่งในศาสนาฮินดู. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2561. จาก https://www.thairath.co.th/content/813962

voice. (2560). เรื่องสยอง 2-3 บรรทัดครึ่ง เมื่อคัมภีร์ปุราณะ เล่าเรื่องดาร์กๆบนสวรรค์. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2561. จาก https://www.voicetv.co.th/read/533485



วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พิมานอากาศ ปราสาทของนางนาค


       สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากครั้งที่แล้วเราได้พาทุกท่านไปชมเมืองประวัติศาสตร์อย่าง นครวีกัน ของประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นประเทศหมู่เกาะอีกประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความงดงามไม่แพ้เมืองในประเทศแถบยุโรปเลยค่ะ สำหรับในวันนี้ เราจะพาทุกท่านไปชมสถานที่แห่งไหน จะเป็นโบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หรือจะเป็นเมืองที่มีความงามผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรม ตามมาดูกันเลยค่ะ ↓↓↓↓↓


ปราสาทพิมานอากาศ

ที่มา : http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post.html


       ปราสาทพิมานอากาศ หรือ ปราสาทวิมานอากาศ  (Phimeanakas) เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เป็นปราสาทที่อยู่ในยุคเมืองพระนคร สร้างขึ้นในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 โดยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Phimeanakas_(Angkor_Thom)_(6832283805).jpg


เป็นงานสถาปัตยกรรมของศิลปะขอมแบบคลัง(เกลียง) เป็นเทวาลัยของศาสนาฮินดู ไศวนิกาย พระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ทรงให้สร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเทวราชตามลัทธิเทวราชา ตั้งอยู่กึ่งกลางพระราชวังหลวงทางตอนเหนือของยโศธรปุระเดิม 

ภาพแผนที่ตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทพิมานอากาศและปราสาทอื่นๆในยุคเมืองพระนคร

ที่มา : http://valuablebook2.tkpark.or.th/media_nirat4.html


ลักษณะสถาปัตยกรรม ตัวปราสาทประธานของปราสาทพิมานอากาศ เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนชั้นฐาน 3ชั้น ก่อสร้างด้วยศิลาแลง ลักษณะคล้ายพีระมิด มีระเบียงคดล้อมรอบ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ทำระเบียงคดอยู่บนชั้นฐาน  ลักษณะของระเบียงคด คือ เจาะผนังเป็นแถวช่องหน้าต่างทั้ง 2 ด้าน มีโคปุระทั้งสี่ด้าน และยังเป็นต้นแบบในการสร้างนครวัดอีกด้วย ตัวปราสาทส่วนใหญ่ถูกทำลาย เหลือเพียงด้านที่ดีที่สุดคือด้านตะวันตก สองด้านของบันไดทางขึ้นมีประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์ขนาบข้างและรูปช้างที่มุมฐานทั้ง 3 ชั้น ภายในบริเวณปราสาทพิมานอากาศยังประกอบไปด้วยสระน้ำหลวง สระน้ำทางด้านทิศตะวันออก และระเบียงตะวันออกที่มีลักษณะเป็นระเบียงรูปไม้กากบาทและมีเสากลมอยู่ด้านล่าง 


ที่มา: http://www.thapra.lib.su.ac.th/supatlib/picture2.php?check=type&keyword=5&Page=22


 ตำนาน  ตามตำนานได้กล่าวเกี่ยวกับปราสาทพิมานอากาศไว้ว่า "มีกษัตริย์ขอมโบราณพระองค์หนึ่งจะต้องเสด็จขึ้นไปบนปราสาทพิมานอากาศทุกคืน เพื่อบรรทมกับนางนาคซึ่งแปลงกายเป็นสตรี หลับนอนกับนางนาคแล้วค่อยไปบรรทมกับพระมเหสีองค์อื่นๆ หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว นางพญานาคจะพิโรธ ทำให้ต้องสวรรคต และบ้านเมืองจะวุ่นวาย" 


ที่มา: https://wichaipy9738.wordpress.com/2016/04/06/พิมานอากาศ-phimaeanakas/


 การเดินทาง  สำหรับการเดินทางมายังปราสาทพิมานอากาศก็สามารถเดินทางได้สะดวกเพราะประเทศกัมพูชามีรถทัวร์พร้อมมัคคุเทศก์รอรับท่าน สำหรับใครที่ต้องการชมโบราณสถานต่างๆรอบเมืองเสียมเรียบ ก็สามารถไปใช้บริการของทัวร์เหล่านั้นได้ โดยค่าเข้าชมจะรวมกับค่าเข้าชมปราสาทนครวัด ซึ่งมีราคาประมาณ 700 บาท

 
ที่มา  https://www.mediastorehouse.com/fine-art-storehouse/travel/photographer-collections-supoj-buranaprapapong-travel-photography/phimeanakas-temple-angkor-thom-siem-reap-province-14610426.html


🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈
      

       เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับปราสาทพิมานอากาศ พอได้ทราบตำนานเกี่ยวกับปราสาทแล้ว มีความเห็นอย่างไรบ้างคะ นี่เป็นเพียงตำนานโดยย่อเท่านั้นนะคะ สำหรับใครที่ต้องการไปอ่านแบบละเอียดสามารถหาอ่านได้ตามเว็บไซต์ต่างๆเลย โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ เราแนะนำว่าท่านต้องลองไปสัมผัสและไปชมให้เห็นกับตาของทุกท่านเองนะคะ เพราะประเทศกัมพูชานั้นมีปราสาทมากมายที่มีความงดงามแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย ครั้งหน้าเราจะพาทุกท่านไปชมกับสถานที่ไหน ห้ามพลาดนะคะ SEE YA !!  💛💛



เอกสารอ้างอิง


เชษฐ์  ติงสัญชลี. (ม.ป.ป.). ปราสาทพิมานอากาศ. สืบค้นเมื่อ 20 ตุลาคม 2561. จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth/กัมพูชา/item/136-ปราสาทพิมานอากาศ.html

กวิฎ ตั้งจรัสวงศ์. (ม.ป.ป.). ปราสาทพิมานอากาศ-Phimeanakas. สืบค้นเมื่อ 20 ตุลาคม 2561. จาก http://art-in-sea.com/th/data/cambodia-art/กลุ่มปราสาทขอม/ขอมสมัยเมืองพระนคร/item/196-phimeanakas1.html

ข้อมูลประเทศกัมพูชา. (ม.ป.ป.). ข้อมูลประเทศกัมพูชา. สืบค้นเมื่อ 20 ตุลาคม 2561. จาก http://www.oceansmile.com/KHM/Piman.htm

ีั

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

นครวีกัน เมืองประวัติศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์



       สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งกับบล็อกที่จะพาทุกท่านไปชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับวันนี้เราจะพาทุกท่านไปยังประเทศหมู่เกาะบ้าง ขอบอกเลยนะคะว่าสถานที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความงดงามไม่แพ้ประเทศแถบยุโรปเลย สำหรับใครที่อดใจรอไม่ไหวแล้ว ก็ตามพวกเรามาเลยค่ะ ↓↓↓↓↓↓


 เมืองประวัติศาสตร์วีกัน



ที่มา: https://fr.wikipedia.org/wiki/Fichier:CRISOLOGO,VIGAN_CITY.jpg


       ที่ตั้ง 🏰🚩  เมืองประวัติศาสตร์วีกัน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะลูซอน บริเวณปากแม่น้ำอาบรา ติดกับทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นเขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโกวันเตสและแม่น้ำเมสตีโซ ในจังหวีดอีโลโกสซูร์ ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ 



ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/บีกัน#/media/File:Ph_locator_ilocos_sur_vigan.png


เมืองประวัติศาสตร์วีกัน เป็นเมืองโบราณที่สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16  สิ่งปลูกสร้างภายในเมืองได้รับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมมาอย่างหลากหลาย ทั้งจีนและยุโรป และเพื่อเป็นการรักษาสภาพของนครวีกันให้คงความงามไว้ จึงอนุญาตให้ใช้เฉพาะรถม้าในการเดินทางเท่านั้น นับว่าเมืองนี้มีการวางแบบเมืองที่ดีที่สุดของสเปนในช่วงที่เข้ามาปกครองประเทศในเอเชียเลยก็ว่าได้ค่ะ



ที่มา: http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/พาไปชมความคลาสสิกของเมืองประวัติศาสตร์วีกัน-ฟิลิปปินส์/


เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ มีจำนวนประชากรประมาณ 47,000 คน มีการวางผังเมืองเป็นในรูปแบบการค้าของยุโรปในเอเชียทำให้เกิดวัฒนธรรมและภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ มีอาคารบ้านเรือนที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบสเปน สำหรับโบราณสถานที่สำคัญของนครวีกัน คือ มหาวิหารวีกัน



ที่มา: http://www.thaigoodview.com/node/161624?page=0,4



มหาวิหารวีกัน หรือ อาสนวิหารนักบุญเปาโล ( St.Paul Metropolitan Cathedral) สร้างโดย ฮวน เดอ ซันซีโด เป็นทหารชาวสเปนที่เข้ามายังประเทศฟิลิปปนส์ในช่วงยุคอาณานิคม โดยตัวมหาวิหารวีกันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1574 มีรูปแบบเป็นศิลปะตะวันตก ในลักษณะของโบสถ์คริสต์ สำหรับศาสนาคริสต์-โรมันคาธอลิค แผงด้านหน้าของอาสนวิหารเมืองวีกันมีลักษณะเป็นแบบคลาสสิก คือ ตรงกลางประกอบด้วยหน้าบันสามเหลี่ยม รองรับด้วยเสาไอโอนิคในชั้นบนและดอริคในชั้นล่าง  ซุ้มโค้งตรงกลางปรากฎรูปเซนต์ปอลขี่ม้าและด้านบนหน้าบันมีสัญลักษณ์ของเซนต์ปอล คือดาบและใบปาล์ม ที่เป็นสัญลักษณ์ของมรณสักขี


ที่มา: http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth/ฟิลิปปินส์/item/296-ภายในอาสนวิหารเมืองวีกัน.html


ภายในมหาวิหารวีกัน แสดงให้เห็นถึงการแบ่งระหว่าง nave กับ aisle อย่างชัดเจน โดยการแบ่งนี้จะใช้เสาที่มีอาร์คเชื่อมโยงกันเป็นตัวแบ่ง เพดานของ nave สูงกว่าเพดานของ aisle อย่างเห็นได้ชัดทำให้มีการเจาะหน้าต่างด้านข้าง nave  ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับศิลปะยุโรป แต่มีความแตกต่างกับโบสถ์อื่นๆในพื้นที่เดียวกัน เพดานของโบสถ์มีการตกแต่งในรูปแบบของศิลปะโกธิค ที่ปลายสุดของ nave และ aisle ปรากฎแท่นบูชา อีกทั้งยังมีแท่นบูชาขนาดเล็กปรากฏอยู่ทำหน้าที่แทน chapel โดยแท่นบูชาหลักของอาสนวิหาร เป็นแท่นที่อุทิศให้กับพระเยซูประทับบัลลังก์กษัตริย์แห่งสวรรค์



ที่มา: http://art-in-sea-whatdoyousee.blogspot.com/2017/10/blog-post.html


การได้รับขึ้นเป็นมรดกโลก เมืองประวัติศาสตร์นครวีกัน ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2542 โดยมีเกณฑ์การพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรม 2 ข้อ คือ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพล ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบของสถาปัตยกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งหรือพื้นที่ใดๆของโลกที่ทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม และอีกประการหนึ่งคือเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ



🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈


       จบกันไปแล้วนะคะกับอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความงดงามผสมผสานจากอิทธิพลของชาติตะวันตก ที่ยังคงความงดงามให้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน หากใครที่ต้องการไปเมืองประวัติศาสตร์วีกันนี้แล้วหละก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกเลย เพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราและได้วิวเหมือนประเทศแถบยุโรปอีกด้วยนะ ราคาไม่แพงด้วย น่าสนใจมากๆเลยนะคะ แต่ถ้าใครที่ไปชมความงดงามเหล่านี้มาแล้ว ก็แอบมาเล่าให้เราฟังได้นะ เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเลยค่ะ 5555 สำหรับวันนี้ก็พอเท่านี้ก่อนนะคะ ครั้งหน้า ทุกท่านคิดว่าเราจะพาไปประเทศไหน ก็กดติดตามและรอมาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ไม่ไกลจากบ้านเราได้เลยค่ะ แล้วเจอกันนะ SEE YA!!




เอกสารอ้างอิง


เชษฐ์ ติงสัญชลี. (ม.ป.ป.). ภายใน อาสนวิหารเมืองวีกัน. สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2561. จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth/ฟิลิปปินส์/item/296-ภายในอาสนวิหารเมืองวีกัน.html

เชษฐ์ ติงสัญชลี. (ม.ป.ป.). อาสนวิหารเมืองวีกัน. สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2561. จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth/ฟิลิปปินส์/item/294-อาสนวิหารเมืองวีกัน.html 

sss28826. (2557). เมืองประวัติศาสตร์วีกัน ประเทศฟิลิปปินส์. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561. จาก http://www.thaigoodview.com/node/161624?page=0,4

วราพรรณ พูลสวัสดิ์. (ม.ป.ป.). มรดกโลกในฟิลิปปินส์ 1 นครประวัติศาสตร์วีกัน. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561. จาก http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/1_24.html

KERO uAsean.com. (ม.ป.ป.). นครประวัติศาสตร์วีกัน. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561. จาก http://www.uasean.com/kerobow01/278

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

ปรัมบานัน (Prambanan) เทวสถานที่สำคัญของศาสนาฮินดู


       สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายกันไปสักพักนะคะ  โพสต์ที่แล้วเราได้พาทุกท่านไปเก็บเกี่ยวความรู้ ศาสนสถานที่สำคัญของประเทศกัมพูชา นั่นก็คือ ปราสาทพระขรรค์ นั่นเอง ส่วนในครั้งนี้ขออนุญาตเกริ่นก่อนว่าเป็นสถานที่ที่ทุกคนรู้จักกันอย่างแพร่หลายแน่นอน เพราะว่าเป็นสถานที่ไฮไลท์ของบริษัททัวร์ต่างๆ เวลาที่เราได้เดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซีย จะต้องไม่พลาดที่จะแวะชมสถานที่แห่งนี้ หากใครกำลังตั้งคำถามในใจว่า เป็นสถานที่ไหนกันนะ?? เราพร้อมจะให้คำตอบทุกท่านแล้วค่ะ ตามมาดูกันเลย ↓↓↓↓↓↓↓↓

ปรัมบานัน 


ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit


       จันดีปรัมบานัน (Candi Prambanan) มีชื่อเป็นทางการว่า กลุ่มวัดพรัมบานัน (Prambanan Temple Compounds)  เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ที่ จังหวัดชวากลาง เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย


ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit


ปรัมบานัน เป็นเทวสถานที่สร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ.1390 เพื่ออุทิศถวายแด่เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 องค์ของศาสนาฮินดู ได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร และสัตว์เทพพาหนะ นับได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญไม่น้อยกว่าบุโรพุธโธเลย


ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit


โดยปรัมบานันนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่น คือ มีเทวาลัยจำนวนมากถึง 200 หลัง โดยมีเทวาลัยขนาดใหญ่ 3 หลังตั้งอยู่กลางกลุ่มเทวาลัย หันหน้าประตูทางทิศตะวันออก ออกแบบคล้ายเจดีย์ทรงกลีบมะเฟืองซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดีย โดยเทวาลัยหลังตรงกลาง มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสูงถึง 47 เมตร  เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นถวายแด่พระอิศวร ส่วนเทวาลัยอีก2หลังมีขนาดเล็กกว่าที่อยู่ทางทิศเหนือสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระนารายณ์และทางทิศใต้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระพรหม 


 ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit




 ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit




ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit



ปรัมบานันเป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่ถูกสร้างด้วยหินจำนวนมาก มีแนวกำแพงล้อมรอบ ความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมของปรัมบานัน คือ เทวาลัยและภาพแกะสลักนูนตามกำแพงที่ประณีตและสวยงามเป็นอย่างมาก โดยแกะสลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบรรดาเทพเจ้า เรื่องรามายณะและตำนานอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ความงดงาม และความสำคัญของศาสนาฮินดูในอดีต


ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit




ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit

หลังจากที่ปรัมบานันถูกสร้างเสร็จได้ไม่นาน ก็ถูกปล่อยทิ้งให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา เมื่อศตวรรษที่ 17 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้ปรัมบานันได้รับความเสียหายอย่างหนัก เหลือเพียงไม่ถึง 10 หลังเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ แต่ในปีพ.ศ.2473 เขตโบราณสถานนี้ก็ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ภายใต้การช่วยเหลือของประชาคมระหว่างประเทศ ในเวลาต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2549 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่เทวาลัยที่เหลืออยู่ ทำให้ได้มีโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยใช้เวลานานถึง 6 ปี เทวาลัยหลักทั้ง 3 หลังก็กลับมางดงาม และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน


ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit




ที่มา : https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit


       ปราสาทหินปรัมบานันได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 15 ภายใต้ชื่อ "กลุ่มวัดปรัมบานัน (Prambanan Temple Compounds) " เมื่อปีพ.ศ. 2534 ที่เมืองคาร์เทจ โดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรม

       🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈


       จบไปแล้วนะคะกับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของศาสนาฮินดู แล้วก็ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะ จะเห็นได้ว่าเป็นสถานที่ที่เก่าแก่และมีความสำคัญกับศาสนาฮินดูเป็นอย่างมาก สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ "กลุ่มวัดปรัมบานัน"เป็นสถานที่หนึ่งที่เราแนะนำให้ทุกท่านได้ไปชมด้วยตัวเอง เดินทางสะดวกและยังใกล้กับประเทศเราอีกด้วยนะ แต่ที่สำคัญคือ ก่อนออกเดินทางต้องตรวจสอบสภาพอากาศกันด้วยนะคะทุกคน🌄🔥☔ ไม่งั้นจะเที่ยวไม่สนุกเลยแหละค่ะ 😂😂😁 ในครั้งหน้าเราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับสถานที่แห่งไหน ต้องรอติดตามชมกันนะคะ SEE YA ! 💛







เอกสารอ้างอิง


นัชรี อุ่มบางตลาด. (ม.ป.ป.). มรดกโลกในอินโดนีเซีย2 : กลุ่มวัดพรัมบานัน. สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561. จาก http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/2_13.html

ปรัมบานัน อีกหนึ่งความมหัศจรรย์แดนอิเหนา. (2560). ปรัมบานัน อีกหนึ่งความมหัศจรรย์แดนอิเหนา. สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561. จาก http://gothailandgoasean.tourismthailand.org/th/ปรัมบานัน-อีกหนึ่งความมหัศจรรย์แห่งแดนอิเหนา/

ปรัมบานัน. (2561). ปรัมบานัน. สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ปรัมบานัน

mollyboo. (2556). วัด ปรัมบานัน มรดกโลก Prambanan อินโดนีเซีย. สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561. จาก https://travel.mthai.com/blog/73785.html

วัดพรัมบานัน. (ม.ป.ป.). วัดพรัมบานัน. สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561. จาก https://www.expedia.co.th/Prambanan-Temple-Yogyakarta.d6106384.Place-To-Visit


วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

ปราสาทพระขรรค์ ศาสนสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์

           
         สวัสดีค่ะ กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วนะคะ วันนี้ทุกท่านคิดว่า เราจะไปแนะนำสถานที่ไหนกันเอ่ย?? ในครั้งที่แล้วเราได้พาทุกท่านไปเยี่ยมชมประเทศเวียดนามกันเป็นที่เรียบร้อย มาวันนี้เราจะพาทุกท่านไปยังสถานที่ที่นับว่าเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่ทุกท่านจะต้องไม่พลาด ถ้าหากไปยังประเทศนี้แน่นอน ตามมาดูกันเลยค่ะ :) 


ปราสาทพระขรรค์


ที่มา http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


             ปราสาทพระขรรค์ เป็นปราสาทหินที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1734 ในยุคท้ายๆของอาณาจักรเขมร สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา


http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


ปราสาทพระขรรค์ เป็นพุทธศาสนสถานสมัยบายน เป็นศิลปะแบบบายน ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าธรณินทรวนมันที่ 2  ผู้เป็นพระราชบิดา ปรากฎเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดเล็ก สลักด้วยศิลาทรายตั้งอยู่ภายในปราสาทองค์หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เก็บอัฐิของพระราชบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  โดยสร้างขึ้นหลังจากสร้างปราสาทตาพรหมที่อุทิศให้พระมารดาแล้ว 5 ปี


http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


เป็นศาสนสถานที่ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง ตัวอาคารโรมันมีลักษณะที่เด่น คือก่อสร้างด้วยศิลา 2 ชั้น โดยใช้เสาหินทรายกลมขนาดใหญ่รับน้ำหนักโครงสร้างและคาน ทั้งชั้นบนและชั้นล่างและยังสันนิษฐานไม่ได้ว่าสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ใด  อีกทั้งที่บานประตูแต่ละปราสาท มีรูปสลักอสูรเป็นคู่ๆ ยืนถือกระบองเปรียบเสมือนการคอยพิทักษ์ดูแลศาสนสถานแห่งนี้ 


http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


บริเวณที่สร้างปราสาทพระขรรค์  ในสมัยก่อนถูกเรียกว่าเป็นทะเลแห่งเลือด เพราะบริเวณนี้เคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างชาวขอมที่อยู่ในเมืองพระนครและชาวจาม ในสงครามครั้งนั้นชาวขอมเป็นฝ่ายชนะ จึงเรียกปราสาทนี้ว่าปราสาทชัยศรี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นปราสาทพระขรรค์ มีความหมายคือ พระแสงดาบที่ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชนะอริราชศัตรู  


http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


ปราสาทพระขรรค์ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 340 ไร่ มีกำแพงที่ซับซ้อน มีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากพังทลายลงเนื่องจากต้นสะปงเจริญเติบโตหรือต้นไม้ล้มลงมาทับ  ภายในตัวปราสาทจะเห็นรูปแกะสลักเทพธิดาประดับอยู่เช่นเดียวกับโบราณสถานอื่นๆ มีรูปนางอัปสรตั้งอยู่ในหอรำ มีเสานางเรียงเป็นทางเข้าปราสาททั้งด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของตัวปราสาท เรียงแถวยาวประมาณ 300 เมตร ตรงกำแพงมีรูปสลักนูนสูงของครุฑขนาดเท่าตัวกำแพงศิลาแลง โดยมือทั้งสองข้างจะจับหางนาคและขาทั้งสองข้างจะจับลำตัวของนาค ซึ่งประติมากรรมลักษณะนี้จะพบเห็นได้ข้างโคปุระที่กำแพงปราสาททั้งสี่ทิศ มีลักษณะโดดเด่น และยังมีสะพานนาคและทับหลังต่างๆที่ถูกแกะสลักออกมาได้อย่างละเอียดและงดงาม


http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


สำหรับการเดินทางมายังปราสาทพระขรรค์ เราสามารถเดินทางมาได้ง่ายๆโดย เดินทางข้ามมายังประเทศกัมพูชา อย่าลืมนะว่าประเทศนี้ไม่ต้องขอวีซ่า จากนั้นก็นั่งรถทัวร์เข้ามาเยี่ยมชมได้เลย โดยจะมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นคอยต้อนรับและให้เรียกใช้บริการกันอยู่แล้ว สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเยี่ยมชมคือ ช่วงเช้า เพราะอากาศกำลังดีและไม่ร้อนมากจนเกินไป  😄😄

http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/slide/result.php?pageNum_rs=113&totalRows_rs=1884&check=suit&keyword=23&Submit32=Search


         ก็จบกันไปอีกแล้วนะคะสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เราได้นำเสนอทุกๆท่านไป ปราสาทแห่งนี้นับว่าเป็นปราสาทที่ไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามาชมมากนัก แต่ก็เป็นปราสาทที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์ การเดินทางมาเยี่ยมชมก็แสนจะง่ายและยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากอีกด้วย สำหรับใครที่ต้องการจะออกทริปส่วนตัวก็สามารถทำได้เช่นกัน


🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈

          สำหรับครั้งหน้าเราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับสถานที่ใหม่ๆแห่งไหน ประเทศอะไร จะงดงามหรือน่าอัศจรรย์ขนาดไหน ต้องรอติดตามชมกันได้ในครั้งหน้านะคะ SEE YA !  💛










อกสารอ้างอิง

ปราสาทพระขรรค์. (2556). ปราสาทพระขรรค์. สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2561. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ปราสาทพระขรรค์

ปราสาทพระขรรค์ภายในนครธม (พ.ศ.1734). (ม.ป.ป.). ปราสาทพระขรรค์ภายในนครธม (พ.ศ.1734). สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2561. จาก http://www.thailandsworld.com/th/angkor/preah-khan/index.cfm

โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์. (ม.ป.ป.). ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา. สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2561. จาก http://www.oceansmile.com/KHM/Nakpan.htm

วรรณวิภา สุเนต์ตา. (2560). ปราสาทพระขรรค์กำปงสวาย ในเส้นทางของอาณาจักรและเครือข่าย สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2561. จาก https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_8530

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ปราสาทหมีเซิน (Mỹ Sơn) โบราณสถานทางวัฒนธรรม

           สวัสดีค่ะ  พบกันอีกแล้วกับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา หรือ เรียกได้อีกอย่างว่า แถบอาเซียนนั่นเอง 😄  สถานที่ที่เราจะพาทุกท่านไปรู้จักนั้น เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าใครที่ได้ไปยังประเทศนี้แล้วหละก็ต้องไม่พลาดที่จะแวะไปเยี่ยมชมแน่นอน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นที่ไหน ก็ตามมาดูกันเลยค่ะ ↓↓↓↓↓


ปราสาทหมีเซิน(Mỹ Sơn) 


ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/

         ปราสาทหมีเซิน  คำว่า หมีเซิน มีความหมายว่า ภูเขาอันสวยงาม ปราสาทหมีเซินเป็นโบราณสถาน ตั้งอยู่ที่จังหวัดกว๋างนาม ทางภาคกลางของประเทศเวียดนาม  ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะตามความเชื่อในศาสนาฮินดู เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและความเลื่อมใสของอาณาจักรจามโบราณ

ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/

ปราสาทหมีเซิน สร้างด้วยศิลปะจามโบราณ ในสมัยศตวรรษที่ 4  โดยพระเจ้าภัทรวรมัน และยังเคยเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญของอาณาจักรจามปาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 - ศตวรรษที่ 15 ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนากว่า 900 ปี ถูกใช้เป็นศาสนสถานตามความเชื่อของศาสนาฮินดูในการทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้บันดาลพรและคุ้มครองราชวงศ์จาม รวมไปถึงเป็นสถานที่ฝังพระศพของกษัตริย์ 


ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/

โดยมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นคือ ภาพแกะสลักบนผนังและอิฐที่ใช้ก่อสร้างมีคุณสมบัติที่ทนกับกาลเวลา ชาวจามรู้จักใช้มอร์ตาร์ในการก่อสร้างปราสาท มีการแกะสลักลวดลายนิทานพื้นบ้านของศาสนาฮินดูบนป้ายหินทรายและรูปสลักบนกำแพงอิฐ รวมไปถึงศิลาจารึกต่างๆที่มีความสวยงามและลี้ลับ การสร้างอาคารโดยมีซุ้มประดับและใช้เสาประดับผนัง ศิลปะเหล่านี้มีการสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากขอม ชวาและอินเดีย นำมาประยุกต์ให้เกิดรูปแบบเฉพาะของตนเอง รวมไปถึงการสร้างศิวลึงค์และหน้าบันรูปพระศิวะ แท่นบูชาและหินแกะสลักเทพต่างๆ

ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/
กลุ่มปราสาทหมีเซินนี้ตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ มีภูเขาโอบล้อม ประกอบไปด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง แต่ปัจจุบันเหลือให้เห็นประมาณ 30 หลังเท่านั้น เนื่องจาก ถูกทำลายในช่วงยุคสงครามเวียดนาม แต่ยังคงเหลือร่องรอยที่ถูกทำลายให้พบเห็นกันอยู่จนถึงปัจจุบัน

ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/


ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/


กลุ่มปราสาทหมีเซินจัดได้ว่าเป็นโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน และได้รับลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่23 เมื่อปีพ.ศ2542 ที่เมืองมาราเกช ประเทศโมร็อกโก  โดยมีหลักพิจารณาที่ว่าเป็นสิ่งที่มีอิทธิพล เป็นแรงผลักดันให้เกิดสถาปัตยกรรมที่พัฒนามากขึ้น และยังเป็นหลักฐานที่ยืนยันทางอารยธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกได้อีกด้วย

ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/



ที่มา https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/

สำหรับใครที่ต้องการมาเยี่ยมชมปราสาทหมีเซิน ก็สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยสามารถนั่งเครื่องบิน✈มาลงที่สนามบินฮานอยได้เลย วันเวลาที่เราสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ คือ ปราสาทหมีเซิน เปิดทำการตลอดทั้งปี โดยจะมีค่าเข้าชม 50,000 ด่อง หรือประมาณ 170 บาทไทย และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าเยี่ยมชมแนะนำว่า เป็นช่วงเช้าเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีสภาพอากาศที่ไม่ร้อนมาก 🌞☁อากาศกำลังดีค่ะ :)

🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈

             เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความงดงามและยังเป็นแหล่งโบราณสถานทางประวัติศาสตร์  ใครที่ชอบการไปเยี่ยมชมแหล่งโบราณสถาน หรือชอบการสำรวจค้นแหล่งอารยธรรมต่างๆ ปราสาทหมีเซินก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทุกท่านไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะได้เยี่ยมชมแหล่งโบราณสถานที่เป็นมรดกโลกแล้ว ยังได้ความรู้กลับไปเล่าสู่กันฟังด้วยนะ
            จบกันไปแล้วนะคะสำหรับการเขียนบล็อกในครั้งนี้ ส่วนครั้งหน้าเราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับสถานที่ไหน ประเทศอะไร ต้องรอติดตามกันในโอกาสหน้านะคะ  see ya! 💛





เอกสารอ้างอิง

หมีเซิน. (2561). หมีเซิน. สืบค้นเมื่อ 31 สิงหาคม 2561. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/หมีเซิน 

Lan Anh-VOV5. (2557). โบราณสถานหมีเซิน-จุดนัดพบเชิงศึกษาวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 31 สิงหาคม 2561. จาก http://vovworld.vn/th-TH/ทองเทยว/โบราณสถานหมเซนจดนดพบเชงศกษาวฒนธรรม-250311.vov

AEC10NEWS. (2560). "หมีเซิน" เมืองมรดกโลก. สืบค้นเมื่อ 31 สิงหาคม 2561. จาก http://www.aec10news.com/ท่องเที่ยวอาเซียน/item/5466-หมีเซิน-เมืองมรดกโลก

Michael Turtle. (ม.ป.ป.). Visiting My Son, Hoi An, Vietnam. สืบค้นเมื่อ 31 สิงหาคม 2561. จาก https://www.timetravelturtle.com/my-son-ruins-hoi-an-vietnam/